บริษัท ที่ปรึกษากฎหมายฉัตร์ธรรม จำกัด ( Chattham Legal Consultants Company Limited ) 0911784515 / 0624622552 / 0956242440

 

คดีภาษีอากร ได้แก่ คดีที่พิพาททางแพ่งเกี่ยวกับ

 

  • คดีอุทธรณ์คําวินิจฉัยของเจ้าพนักงานหรือคณะกรรมการตามกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร
  • คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร
  • คดีพิพาทเกี่ยวกับการขอคืนค่าภาษีอากร
  • คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามข้อผูกพันซึ่งได้ทําขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากร
  • คดีที่มีกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอํานาจศาลภาษีอากร (พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรฯ มาตรา 7)

 

โดยในคดีภาษีอากร จะมีทั้งคดีที่ต้องมีการอุทธรณ์

และคดีที่ไม่ต้องมีการอุทธรณ์ก่อน

กรณีที่จะต้องอุทธรณ์ก่อนนั้น

จะต้องตรวจสอบการประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงาน

เพื่อดูความถูกต้องของกรรมวิธีการประเมินภาษีอากร เงินเพิ่ม

และเบี้ยปรับ

รวมถึงหลักเกณฑ์ต่างๆ ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จะอุทธรณ์ได้

เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว

หากผู้อุทธรณ์ยังไม่พอใจในคำวินิจฉัย

ผู้อุทธรณ์มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาล และยื่นฟ้องต่อศาลภายในอายุความ

แต่จะต้องเป็นกรณีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ด้วย

 

ตัวอย่างคำพิพากษา กรณีอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  8298/2557

ป.พ.พ. มาตรา 499

ป.รัษฎากร มาตรา 30, 91/2

พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 25

ข้อ 2 (14)

 

          ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 30 โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์การประเมิน

ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้ง

การประเมินปัญหาข้อเท็จจริงใดที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิหยิบยกขึ้นอุทธรณ์

ย่อมเป็นอันยุติโจทก์จะยกขึ้นอุทธรณ์ต่อศาลไม่ได้

เมื่อโจทก์ไม่ได้ยกปัญหาว่าการที่เจ้าพนักงานประเมิน

กำหนดราคาขายทองรูปพรรณทั้งหมดเป็นรายได้ของโจทก์

เป็นการไม่ชอบขึ้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์

โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินในส่วนนี้ได้

แม้ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ก็เป็นการไม่ชอบ

และไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะอุทธรณ์ประเด็นนี้ต่อไป

          การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจะต้องอาศัยพยานหลักฐาน

ที่ปรากฏจากการไต่สวน แม้โจทก์ไม่มีบัญชีเอกสารหรือหลักฐาน

มาแสดงแต่ถ้อยคำของโจทก์เองถือเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง

ที่ปรากฏจากการไต่สวนซึ่งเจ้าพนักงานประเมินนำมาใช้

ในการตรวจสอบได้

การที่เจ้าพนักงานจะพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏ

จากการไต่สวนอย่างไรเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ

แม้เจ้าพนักงานประเมินจะประเมินภาษีโจทก์

โดยอาศัยเพียงแต่ข้อมูลจากที่โจทก์ได้ให้ถ้อยคำไว้

ก็ไม่มีผลทำให้การไต่สวนเสียไป

          ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40)

เรื่อง กำหนดลักษณะและเงื่อนไข ค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณ

มูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 (4)แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 2 (14)

กำหนดว่า “มูลค่าของทองรูปพรรณที่ขายเป็นจำนวนเท่ากับ

ราคาทองรูปพรรณที่สมาคมค้าทองคำประกาศรับซื้อคืน

ในวันที่ขายทองรูปพรรณ ทั้งนี้ เฉพาะผู้ประกอบการจดทะเบียน

ที่ประกอบกิจการขายทองรูปพรรณ ซึ่งมีใบอนุญาตค้าของเก่า

ตามกฎหมายว่าด้วยการค้าของเก่า” กรณีตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร

ฉบับดังกล่าว เป็นการรับซื้อและขายทองรูปพรรณแก่บุคคลทั่วไป

แต่สำหรับการขายฝากทองรูปพรรณนั้น คู่สัญญาย่อมกำหนดสินไถ่

โดยเรียกประโยชน์ตอบแทนรวมไปกับราคาขายฝากที่แท้จริงได้

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 499

สินไถ่จึงขึ้นอยู่กับการตกลงกันของคู่กรณีแต่ละราย

หากผู้ขายไม่ต้องการรับภาระจ่ายประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้รับซื้อฝาก

เกินความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน ก็ตกลงสินไถ่ต่ำกว่าราคาขายทองรูปพรรณได้

สินไถ่จึงไม่ต้องเท่ากับราคาขายทองรูปพรรณทั่วไป

ส่วนราคาที่โจทก์รับซื้อฝากก็ไม่ต้องเท่ากับราคาทองรูปพรรณ

ที่สมาคมค้าทองคำประกาศรับซื้ออีกเช่นกัน

กรณีจึงไม่อาจนำประกาศอธิบดีกรมสรรพากร

เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40) มาใช้บังคับแก่การขายฝากได้

          แม้โจทก์จะมิได้รับฝากเงินเช่นธนาคาร แต่ประกอบกิจการรับซื้อลดเช็ค

เช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์หลายครั้งหลายช่วงเวลา

ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์

ในการรับซื้อตั๋วเงินเป็นปกติ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ

ตามมาตรา 91/2 แห่ง ป.รัษฎากร

          อุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของศาลภาษีอากรกลางในการวินิจฉัย

เรื่องเหตุอันควรลดเบี้ยปรับเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง 

เมื่อภาษีธุรกิจเฉพาะแต่ละเดือนภาษีพิพาท มีทุนทรัพย์ที่พิพาท

แต่ละเดือนภาษีไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้าม

มิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม 

พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร

พ.ศ.2528 มาตรา 25

 

 

คดีทรัพย์สินทางปัญญา ได้แก่ คดีที่แยกพิจารณาเป็นทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาได้ดังนี้

 

คดีแพ่ง

  • คดีแพ่งเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์

สิทธิบัตรคดีพิพาทตามสัญญาถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ

  • คดีแพ่งเกี่ยวกับการซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้า หรือตราสารการเงินระหว่างประเทศ

หรือการให้บริการระหว่างประเทศ การขนส่งระหว่างประเทศ

การประกันภัยและนิติกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง

  • คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องมาจากการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 271-275

ได้แก่ ความผิดเกี่ยวกับการค้าฐานขายของโดยหลอกลวงให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด

คุณภาพ ฯลฯ ของสินค้า ความผิดเกี่ยวกับการใช้รูปรอยประดิษฐ์ของผู้อื่น

ความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้า จำหน่าย

หรือเสนอจำหน่ายสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าปลอมหรือเลียน เป็นต้น

  • คดีแพ่งเกี่ยวกับเลตเตอร์ออฟเครดิต (แอลซี) 
  • คดีแพ่งเกี่ยวกับการกักเรือ
  • คดีแพ่งเกี่ยวกับการทุ่มตลาด และการอุดหนุนสินค้าหรือการให้บริการจากต่างประเทศ
  • คดีแพ่งที่เกี่ยวกับข้อพิพาทในการออกแบบวงจรรวม การค้นพบทางวิทยาศาสตร์

ชื่อทางการค้า ฯ

  • คดีแพ่งที่เกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการเพื่อระงับข้อพิพาท มาตรา 7 (3)-(10)

ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545

  • คดีแพ่งที่มีกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญา

 

คดีอาญา

  • คดีอาญาเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร
  • คดีอาญาเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 271-275
  • คดีอาญาที่เกี่ยวกับข้อพิพาทในการออกแบบวงจรวม การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ชื่อทางการค้า ฯ
  • คดีอาญาที่มีกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจศาลทรัพย์สินทางปัญญา

 

การดำเนินคดีในศาลทรัพย์สินทางปัญญานั้น

จะดำเนินคดีให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม

จึงมีการกำหนดให้มีการพิจารณาคดีติดต่อกันโดยไม่เลื่อนคดี เว้นแต่

มีเหตุจำเป็น นอกจากนี้อธิบดีผู้พิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศกลาง

โดยอนุมัติประธานศาลฎีกา มีอำนาจออกข้อกำหนดเกี่ยวกับ

การดำเนินกระบวนพิจารณา และการรับฟังพยานหลักฐานใช้บังคับในศาลได้

จึงทำให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และประหยัด

อันเป็นลักษณะพิเศษซึ่งแตกต่างจากศาลอื่น

 

 

 

คดีปกครอง แบ่งได้ดังนี้

 

  • คดีที่มีข้อพิพาทเนื่องจากการกระทำทางปกครองของรัฐฝ่ายเดียว

เช่น การออกกฎ การออกคำสั่งทางปกครอง การออกพระราชกำหนด

หรือการกระทำทางปกครองของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน

เช่น การก่อสร้างสะพานลอย การขุดลอกคูคลอง เป็นต้น
 

  • คดีที่มีข้อพิพาทเนื่องจากการละเลยการปฏิบัติหน้าที่

หรือปฏิบัติล่าช้าของเจ้าหน้าที่รัฐ
 

  • คดีที่มีข้อพิพาทเนื่องจากการกระทำละเมิดทางปกครอง

หรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานรัฐ หรือเจ้าหน้าที่

เช่น การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
 

  • คดีที่มีข้อพิพาทเนื่องจากสัญญาทางปกครอง

เช่น สัญญาสัมปทาน สัญญาบริการสาธารณะ สัญญาใช้ทุน เป็นต้น

 

ซึ่งการพิจารณาคดีดังกล่าว จะดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลปกครอง

เป็นการดำเนินคดีแบบไต่สวนโดยตุลาการศาลปกครอง

คำฟ้องคดีปกครอง สามารถยื่นได้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือ

ยื่นฟ้องทางไปรษณีย์ได้เช่นกัน โดยให้ถือวันที่ส่งเป็นวันยื่นคำฟ้อง

 

  • คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครอง

เช่น คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัว

ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ศาลล้มละลาย

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ

คดีเกี่ยวกับวินัยทหาร คดีเกี่ยวด้วยระเบียบข้า่ราชการฝ่ายตุลาการ

 

 

คดีแรงงานได้แก่ คดีที่มีข้อพิพาทระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง

เกี่ยวด้วยการจ้างแรงงาน และสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายแรงงานต่างๆ เช่น

  • กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
  • กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์
  • กฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน
  • กฎหมายว่าด้วยประกันสังคม เป็นต้น

รวมไปถึงกรณีการละเมิดระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างด้วย

ซึ่งการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี จะต้องดำเนินคดีที่ศาลแรงงาน

โดยการพิจารณาจะเป็นไปด้วยความรวดเร็ว

โจทก์และจำเลยไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น

และศาลจะพยายามไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้คู่ความสามารถตกลงกันได้

 

ตัวอย่างคดีแรงงาน เช่น

  • คดีที่ลูกจ้างฟ้องเรียกให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยกรณีออกจากงาน
  • คดีที่ลูกจ้างฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
  • คดีที่ลูกจ้างฟ้องเรียกเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • คดีที่นายจ้างฟ้องลูกจ้างว่ากระทำความผิดระหว่างปฏิบัติงาน
  • คดีที่นายจ้างฟ้องลูกจ้างว่ากระทำผิดวินัย
  • คดีที่นายจ้างฟ้องลูกจ้างว่ากระทำละเมิด
  • คดีที่นายจ้างฟ้องเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานตรวจแรงงาน
  • คดีที่นายจ้างฟ้องลูกจ้างว่ากระทำความผิดตามกฎหมายอาญา

เช่น ลูกจ้างยักยอกทรัพย์ ลูกจ้างฉ้อโกงทรัพย์ เป็นต้น

  • คดีที่นายจ้างฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญาจ้าง 

กรณีลูกจ้างไปทำงานให้กับบริษัทคู่แข่ง หรือบริษัทคู่ค้าของนายจ้าง

หรือ ลูกจ้างไปเปิดกิจการแข่งขันกับกิจการของนายจ้าง เป็นต้น

 

 

 

 

คดีล้มละลายตามกฎหมายล้มละลายนั้น

มุ่งให้ความเป็นธรรมกับทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ คือ

ในส่วนของเจ้าหนี้ก็เพื่อให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้อย่างเต็มจำนวน

ส่วนของลูกหนี้ก็เพื่อให้ลูกหนี้ได้พ้นจากการล้มละลายได้เร็วขึ้น

โดยคดีล้มละลายจะมีได้ทั้งในส่วนของคดีแพ่งและคดีอาญา

 

  • หลักเกณฑ์ในการถูกฟ้องล้มละลาย มีดังนี้

 

1.ลูกหนี้ที่เป็นบุคคลธรรมดา มีหนี้สิ้นล้นพ้นตัว

และเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนรวมกัน

ไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท

2.ลูกหนี้ที่เป็นนิติบุคคล เป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียว

หรือหลายคนรวมกันไม่น้อยกว่า 2,000,000 บาท

 

  • หลักเกณฑ์การถูกปลดจากล้มละลาย มีดังนี้

 

1.ปลดล้มละลายโดยคำสั่งศาล

2.ปลดล้มละลายโดยผลของกฎหมาย คือ บุคคลธรรมดา

ที่ถูกศาลพิพากษาว่าล้มละลายว่าล้มละลายมาแล้ว

พ้นกำหนดระยะเวลา 3 ปี

 

เว้นแต่

1.บุคคลนั้นเคยถูกศาลพิพากษาว่าล้มละลายมาก่อน

และยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลา 5 ปี นับแต่ศาลได้พิพากษาครั้งก่อน

ให้ขยายระยะเวลาเป็น 5 ปี

2.บุคคลนั้นเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต ให้ขยายระยะเวลาเป็น 10 ปี

3.บุคคลนั้นเป็นบุคคลล้มละลาย เนื่องจากการกระทำผิด

อันมีลักษณะเป็นการกุู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน

ให้ขยายระยะเวลาล้มละลายเป็น 10 ปี

 

หรือ เพราะเหตุการหยุดนับระยะเวลา

ซึ่งเกิดจากลูกหนี้ไม่ให้ความร่วมมือต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

ในการจัดการทรัพย์สินโดยไม่มีเหตุอันควร

โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จะยื่นคำร้องต่อศาล

ขอให้หยุดนับระยะเวลาได้ ซึ่งศาลจะมีคำสั่งให้หยุดนับระยะเวลาได้

แต่ไม่เกิน 2 ปี รวมเป็นระยะเวลาในการล้มละลายกรณีนี้ 5 ปี

จึงจะปลดล้มละลายโดยผลของกฎหมาย

 

กรณีนิติบุคคล จะมีกระบวนการของการฟื้นฟูกิจการเข้ามาช่วย

เพื่อให้ปลดล้มละลายได้เร็วขึ้น

 

การพิจารณาพิพากษาคดีล้มละลายนั้น ต้องการความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ

จึงได้แยกพิจารณาในศาลล้มละลายโดยเฉพาะ

 

 

เฟสบุ๊ค (Facebook Fanpage)

โนตารี (Facebook Fanpage)

บังคับคดี (Facebook Fanpage)